iOS 8 เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ พร้อมวิธี backup ข้อมูลก่อนทำการอัพเดท

สิ้นสุดการรอคอยเสียที เนื่องด้วยสาวก iOS ก็เพราะว่า iOS 8 จะเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไป ได้ดาวน์โหลดพร้อมกันทั่วโลกแล้ววันนี้ครับ เพราะอุปกรณ์ที่รองรับ iOS 8 ได้แก่
- iPhone 4S
- iPhone 5
- iPhone 5c
- iPhone 5s
- iPod touch (5th gen)
- iPad 2
- iPad with Retina display (iPad 3/4)
- iPad Air
- iPad mini
- iPad mini with Retina display (iPad mini 2)
- iPhone 5
- iPhone 5c
- iPhone 5s
- iPod touch (5th gen)
- iPad 2
- iPad with Retina display (iPad 3/4)
- iPad Air
- iPad mini
- iPad mini with Retina display (iPad mini 2)
และก่อนที่จะทำการอัพเดท วันนี้ กลุ่มงาน techmoblog จักมาแนะนำ วิธีการ backup ข้อมูล เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายหลังอัพเดทแล้วนั่นเอง ซึ่งปกติแล้ว การอัพเดท OS ข้อมูลที่อยู่ในตัวเครื่อง จะไม่หายครับ แต่ในบางครั้งถ้าถ้าหากอัพเดทแล้ว เกิดโชคร้าย มี error ขึ้นมา ข้อมูลทั้งหมดในตัวเครื่อง อาจจักสูญหายได้นั่นเอง เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เราควรทำการ backup ข้อมูลทุกครั้ง ก่อนทำการอัพเดทนะครับ
ด้วยการ back up ข้อมูล ทำได้ทั้งหมด 2 วิธีด้วยกัน นั่นก็คือ ข้ามทาง iCloud และ iTunes ทำเป็นเระบือกใช้ได้ตามสะดวกครับ
วิธีการ backup ข้อมูลทะลวง iCloud

วิธีการนี้ สะดวกครับ แค่แค่เข้าไปที่ Settings > iCloud > Storage & Backup > iCloud Backup เเลื่องลือกเปิดใช้งานครับ จากนั้น ให้คลิก Backup Now แล้วรอจนกว่าตัวเครื่องจักทำการ backup เสร็จ แค่นี้ก็เรียบร้อยครับ
อย่างไรก็ดี วิธีการ Backup ด้วย iCloud เหมาะเพราะว่าผู้ที่มีข้อมูลในตัวเครื่องไม่ก่ายกอง เนื่องจากจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ Wi-Fi นั่นเอง อีกอย่างก็คือ พื้นที่ฟรีบน iCloud มีจำกัดแค่ 5 GB ฉะนั้น ผู้ใช้ที่มีข้อมูลมากกว่านี้ ไม่เหมาะที่จักใช้วิธีนี้ครับ
วิธีการ backup ข้อมูลทะลุ iTunes

วิธีการนี้ ก็เป็นได้ทำได้ง่ายอีกเช่นกันครับ ด้วยการเชื่อมต่อ iPhone ไม่ก็ iPad เข้ากับคอมพิวเตอร์ เปิด iTunes ขึ้นมา แล้วเเลื่องก Back Up Now จากนั้นก็รอจนกว่าจัก Backup เสร็จ ก็เรียบร้อยครับ
iOS 8 มีอะไรใหม่
ด้วยว่าแอพพลิเคชั่นหลักๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มเติมเข้ามา บน iOS 8 ได้แก่ Photos, Messages, Design, QuickType, Family Sharing, iCloud Drive, Health, Continuity, Spotlight, Developer พร้อมด้วย Enterprise มาดูกันครับว่า แต่ละส่วน มีจุดเด่นด้านการใช้งานอย่างไร
Photos

เพราะ Photos เหรอแหล่งรวมภาพถ่าย ภาพทุกภาพที่ถูกถ่าย ไม่ว่าเราจะถ่ายภาพด้วย iPhone ไม่ใช่หรือ iPad จักถูกบันทึกบนทุกอุปกรณ์ที่เรามี ข้ามทาง iCloud Photo Library นั่นเอง นอกจากนี้ ยังสมรรถค้นหาภาพที่ต้องการได้อีกด้วย

นอกจากนี้ Photos ยังมีเครื่องมือการแก้ไขภาพถ่ายแบบใหม่ ต่อให้ภาพที่ถ่ายออกมาไม่สวย แสงมืด หรือไม่ก็ตำแหน่งของภาพไม่ถูกใจ เก่งนำมาปรับแต่งได้ใหม่ตามต้องการ นอกจากนี้ ยังเพิ่มระบบการปรับความสว่าง และ contrast แบบที่ไม่ต้องพึ่งแอพฯ แต่งภาพอื่นๆ อีกเลย รวมไปถึงการใส่ฟิลเตอร์ ก็มีให้เฟุ้งเฟื่องกมากมายกว่าเดิมครับ
Messages
Messages เหรอระบบ iMessage แบบเดิมๆ นั่นเองครับ เพราะว่าได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ อาจอัดเสียงแล้วส่งเป็นคลิปเสียงได้แล้ว ส่วนผู้รับ ถ้าต้องการฟังเสียง ก็เป็นได้ยก iPhone ขึ้นฟังได้เลย ซึ่งนอกจากคลิปเสียง Messages ยังสมรรถส่งคลิปวีดีโอได้อีกด้วย เรียกได้ว่า เปลี่ยนจากการส่งข้อความแบบธรรมดาๆ ให้มีความหลากหลายมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ Messages ยังเป็นได้คุยแบบเป็นกลุ่มได้ด้วยเช่นกัน เป็นได้เพิ่มเพื่อน ไม่ก็ลบเพื่อนที่ไม่ต้องการออกจากกรุ๊ป นอกจากนี้ ยังสมรรถตั้งไม่ให้แจ้งเตือนตลอดเวลาได้ ด้วยการเปิดฟังก์ชัน Do Not Disturb กับทำได้เข้ามาอ่านจนถึงมีเวลาครับ
ปิดท้ายด้วยการแชร์ Location แทนที่จะพิมพ์ว่าอยู่ที่ไหน กดแชร์ Location ให้เพื่อนได้รับรู้กันไปเลย เรียกได้ว่า ฟีเจอร์นี้ ริเริ่มทัดเทียมคู่แข่งอย่าง LINE บ้างแล้ว
Design
ความน่าสนใจของ iOS 8 นั้น ก็คือเรื่องของการออกแบบอินเทอร์เฟส นั่นเองครับ แม้ว่าอินเทอร์เฟสของ iOS 8 นั้น จักเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ minor change แต่ก็ถือว่า สะดวกต่อการใช้งานมากกว่าเดิม มีอะไรบ้าง มาดูกันดีกว่า
อย่างแรกก็คือ เรื่องของการแจ้งเตือน ไม่ใช่หรือ Notification ครับ ปกติแล้ว เวลามีข้อความแจ้งเตือนเข้ามา ผู้ใช้ศักยคลิกแล้วเข้าสู่แอพฯ นั้นได้ทันที แต่บน iOS 8 เราทำเป็นตอบกลับจากหน้าจอเด้งนั้นได้เลย ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนทัก Messages มา แค่ลากลงเพื่อเปิดกล่องข้อความ พิมพ์ แล้วส่ง เพราะที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าตัวแอพฯ เลยนั่นเอง นอกจากข้อความธรรมดาๆ แล้ว การแจ้งเตือนปฏิทินนัดหมาย, อีเมล รวมไปถึง Facebook ก็สมรรถตอบได้เลยทันที รวดเร็วทันใจครับ
ปกติแล้ว การกดปุ่ม Home 2 ครั้ง จักเป็นการเข้าสู่เมนู Multitasking แต่บน iOS 8 นี้ Multitasking ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวอีกถัดจากครับ ก็เพราะว่าได้มีการเพิ่ม ทะเบียนผู้ติดต่อ ทั้งแบบ Favourite พร้อมด้วยผู้ติดต่อล่าสุด เพิ่มเข้ามา ซึ่งศักยกดโทร, ส่งข้อความ หรือว่าเริ่มต้นใช้ FaceTime ได้เลยจากที่นี่
ในส่วนของอีเมล ได้มีการเพิ่มลูกเล่นเข้ามาใหม่ ปัดไปด้านขวา เพราะตั้งเป็น ข้อความที่อ่านแล้ว (Mark as Read) หรือไม่การปัดไปทางซ้าย ได้เพิ่มส่วนของ Flag ไม่ก็การปักธงอีเมลที่สำคัญๆ (บน iOS 7 มีแค่ปุ่ม More กับ Trash)
Safari บน iPad เปลี่ยนแปลงใหม่ครับ เพิ่ม Tab view พร้อมกับ Sidebar แบบใหม่ ที่ผู้ใช้เป็นได้ทำการ bookmarks, เพิ่ม Reading List พร้อมกับแชร์ลิงก์ได้ง่ายๆ สะดวกกว่าเดิม
QuickType
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ คีย์บอร์ด บน iOS 8 ครับ เพราะทุกๆ ครั้งที่พิมพ์ จักมีการเดา คำศัพท์ ใช่ไหมประโยคถัดไป ให้เลือเลื่องกใช้ เพราะว่าที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ทุกคำให้เสียเวลา นอกจากนี้ iOS 8 ยังฉลาดขึ้น ด้วยการคาดเดาได้ว่า เรากำลังสื่อสารเรื่องอะไรอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนพิมพ์ Messages ถามมาว่า Do you want to go for dinner or a movie? เราไม่จำเป็นต้องพิมพ์ Dinner ไม่ก็ Movie ครับ ด้านล่าง จักมีคำขึ้นมาให้เเลื่องลือกได้เลย
พร้อมด้วยที่สำคัญ ฟีเจอร์เดาคำ นี้ รองรับภาษาไทยด้วย แบบนี้ต้องลองเล่นดูนะครับว่า รองรับภาษาไทยได้สมบูรณ์หรือไม่
ส่วนใครที่เบื่อคีย์บอร์ด Apple แบบเดิมๆ ประเดี๋ยวนี้ iOS 8 เปิดรับคีย์บอร์ดของนักพัฒนาแล้ว เรียกได้ว่า ชอบใช้คีย์บอร์ดแบบไหน ก็เโจษกได้ตามใจครับ
Family Sharing
พอหลายเดือนที่สร้างผ่านมา หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินข่าว ผู้ปกครองฟ้องร้อง แอปเปิล ให้ทำการคืนเงินจากการซื้อแอพฯ ตามที่บุตรหลานของตนเอง เผลอไปกดซื้อแบบไม่ตั้งใจ กับไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง ทำให้ iOS 8 ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ที่มีชื่อว่า Family Sharing ที่อาจจะแอด บุคคลในครอบครัวได้สูงสุด 6 คนด้วยกัน ข้อดีก็คือ ทุกๆ ครั้งที่มีการซื้อแอพฯ บน App Store จะมีการแจ้งเตือนไปยัง ผู้ปกครอง ก่อน ทำให้หมดปัญหาเรื่อง บุตรหลานเผลอไปกดซื้อแอพฯ ได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ ยังอาจจักแชร์รูป, ตารางนัดหมายต่างๆ รวมไปถึง แชร์ Location ได้อีกด้วย
iCloud Drive
iCloud Drive ไม่ใช่หรือ Dropbox เวอร์ชัน iOS 8 ได้รับการปรับปรุงใหม่ จากเดิมที่รองรับเฉพาะไฟล์เอกสาร ปัจจุบันนี้ รองรับไฟล์ได้ทุกระดับครับ ทั้ง Presentation, Spreadsheet, PDF, รูปภาพ, เพลง เหรอวีดีโอ ซึ่งเชี่ยวชาญเข้าถึงด้วยอุปกรณ์ใดก็ได้ ทั้ง iPhone, iPad, iPod touch, Mac รวมไปถึง Windows PC
เพราะการแก้ไขไฟล์ต่างๆ จะเป็นแบบ เรียลไทม์ ครับ สมมติว่า เปิดไฟล์เอกสารบน Mac กับทำการแก้ไขอยู่ ส่วนอีกคน เปิดไฟล์เดียวกัน บน iPhone ก็จักเห็นว่า ไฟล์กำลังถูกแก้ไขเช่นกัน เรียกได้ว่า สะดวกมากทีเดียว
Health
แม้ว่าในงาน จักยังไม่มีการเริ่ม iWatch นาฬิกาอัจฉริยะ แต่ทางแอปเปิล ก็เริ่มเน้นเรื่องสุขภาพมากขึ้นแล้ว กับแอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า Health ที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านร่างกายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น อัตราการเต้นของหัวใจ, การเผาผลาญแคลอรี่, ระดับน้ำตาลในเเล่าลือด, คอเรสเตอรอล พร้อมกับอื่นๆ ตัดผ่านทางแอพพลิเคชั่นด้านสุขภาพต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือเหตุด้วยนักพัฒนา ที่มีชื่อว่า HealthKit ในการพัฒนาแอพฯ เพื่อสุขภาพ ด้วยใช้งานบน iOS 8 ด้วย ซึ่งในอนาคต น่าจะมีแอพฯ เพื่อสุขภาพให้ดาวน์โหลดกันบน App Store มากมายทีเดียว
Spotlight ฉลาดขึ้นกว่าเดิม
Spotlight เวอร์ชันเดิมๆ เน้นค้นหาเฉพาะแอพพลิเคชั่น หรือไม่ก็อีเมล เท่านั้น แต่เกี่ยวกับ Spotlight บน iOS 8 สมรรถค้นหาได้หลากหลายมากขึ้นครับ ไม่ว่าจักเป็น Wikipedia, ค้นหาข่าวสาร, สถานที่ใกล้เคียง, iTunes Store, App Store, iBooks Store, แนะนำเว็บไซต์ที่น่าสนใจ รวมไปถึง ตารางจอเงินที่เข้าฉาย
iOS 8 รองรับการเชื่อมต่อระหว่าง iPhone, iPad กับ Mac แล้ว
นับตั้งแต่ iOS 7 เป็นต้นมา อุปกรณ์ iOS กับ Mac เชี่ยวชาญรองรับการทำงานด้วยกันได้บ้างแล้ว แต่บน iOS 8 พร้อมกับ OS X Yosemite ที่เริ่มพร้อมกันในงาน WWDC 2014 รองรับฟีเจอร์การใช้งานร่วมกันมากขึ้น ไม่ว่าจักเป็น
Handoff ทุกๆ ครั้งที่มีการล็อกอินทะลุทะลวง iCloud ด้วยบัญชีเดียวกัน ไม่ว่าเราจักเปิดอ่านเว็บไซต์อะไร, กำลังตอบอีเมล ไม่ใช่หรือแก้ไขไฟล์เอกสารตัดผ่าน Pages ข้อมูลหรือไม่ข้อความดังกล่าว ก็จะปรากฏบนอุปกรณ์ทุกเครื่อง ที่มีการล็อคอินด้วยบัญชีเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น กำลังเขียนอีเมลบน Mac ครั้นเมื่อเปิดบน iPhone ก็จักมีอีเมลแบบ draft ปรากฏด้วยเช่นกัน
iPad พร้อมกับ Mac ทำเป็นรับโทรศัพท์ได้แล้ว!! เพื่อนๆ อ่านประโยคนี้ไม่ผิดหรอกครับ แม้ว่า iPad พร้อมด้วย Mac จักเป็นอุปกรณ์ที่ไม่เชี่ยวชาญใช้โทรศัพท์ได้ แต่ iOS 8 พร้อมด้วย OS X Yosemite เนรมิตทุกอย่างให้เป็นนักได้ สมมติว่า iPhone อยู่ในกระเป๋า แต่เรากำลังพิมพ์งานบน MacBook อยู่ จนกระทั่งมีสายเรียกเข้า จะมีข้อความแจ้งเตือนปรากฏบนหน้าจอ Mac ซึ่งเราอาจจะรับสายได้ทันทีครับ แต่ฟีเจอร์นี้ มีข้อแม้ก็คือ จะต้องมีการเชื่อมต่อ Wi-Fi เดียวกัน พร้อมทั้ง iPhone ที่ใช้ต้องรัน iOS 8 ด้วย จึงจะเป็นได้ใช้ได้
ไม่เท่าเท่านั้น ยังเชี่ยวชาญกดโทรออกได้ จากเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าเว็บไซต์บน Safari, บนปฏิทิน และบนบัญชีรายชื่อผู้ติดต่อได้เลย (จาก Mac ใช่ไหม iPad)
iOS 8 รองรับบนอุปกรณ์ใดบ้าง
เนื่องด้วยอุปกรณ์ที่รองรับ iOS 8 ได้แก่ iPhone 4S, iPhone 5, iPhone 5C, iPhone 5S, iPod touch 5th generation, iPad 2, iPad with Retina display (iPad 4), iPad Air, iPad mini พร้อมกับ iPad mini with Retina (iPad mini 2)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น